Page 11 - :: สมุดภาพนครน่าน ::
P. 11

ย้ายมาสร้างเมืองน่านขึ�นใหม่ทางฝั�งตะวันตกของแม่น��าน่าน   ก็ไม่คิดที่จะสู้รบูและหนีไปพึ่งเมืองหลวงพระบูางในอาณิาจักร

            ห่างจากเมืองเก่าประมาณิ ๖๐ เส้น (บูริเวณิที่ตั�งของเมือง  ล้านช้าง หลังจากพญาพลเทพฦๅไชยหนีไปแล้ว พระเจ้า
            น่านปัจจุบูัน) แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๑ และการลอบูปลง  หงสาวดีบูุเรงนองโปรดให้พระหน่อค�าเสถียรชัยสงครามเป็น
            พระชนม์เจ้าเมืองน่านครั�งที่ ๒ คือพญาค�าตัน พระราชโอรส  เจ้าเมืองน่านแทน
            ของเจ้าพญาผากองเมื่อ  พ.ศ.  ๑๙๓๙  (พื�นเมืองน่าน          หลังจากเมืองน่านได้เข้ารวมอยู่ในอาณิาจักร

            ฉบูับูวัดพระเกิด, ๒๕๔๑) แต่ก็ไม่สามารถมีอ�านาจเหนือ  ล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกราชแล้ว เมืองน่านก็ไม่เคยเป็นเอกราช
            เมืองน่าน เพราะอยุธยาเองก็ยังต้องการเกลือจากเมืองน่าน  อีกเลย ทั�งนี�เมื่อพระนางวิสุทธิเทวีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
            มาอุปโภคบูริโภคในอาณิาจักรของตน                     เชื�อสายราชวงศ์มังรายองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย พระเจ้า
                   ต่อมาพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๕ - ๒๐๓๐) ผู้ครอง  หงสาวดีจึงส่งมังนรธาช่อ (พงศาวดารเมืองน่านเรียก “เจ้าฟ้า

            นครเชียงใหม่มีพระประสงค์ที่จะขยายอาณิาเขตจึงได้  สาระวดี”) มาครองเมืองเชียงใหม่เพื่อปกครองหัวเมืองล้านนา
            ยกทัพมาตีเมืองน่าน เจ้าอินต๊ะแก่นท้าวซึ่งครองเมืองน่าน  โดยตรงใน พ.ศ. ๒๑๒๒ เมืองน่านต้องขึ�นตรงต่อการปกครอง
            อยู่ในเวลานั�นไม่สามารถต่อต้านกองทัพพระเจ้าติโลกราชได้  ของพม่าที่เมืองเชียงใหม่ด้วย เจ้าผู้ครองนครที่ไม่ฝักใฝ่
            จึงทิ�งเมืองและอพยพลงมาอาศัยพญาเชลียงอยู่ที่เมืองเชลียง  กับูพม่า ถ้าไม่หนีก็ถูกจับู แล้วพม่าก็ตั�งเจ้าเมืองใหม่มาแทน

            เมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๓ ซึ่งท�าให้พระเจ้าติโลกราชผูกใจเจ็บูต่อ  เป็นเช่นนี�เรื่อยมา
            กรุงศรีอยุธยา และในพ.ศ. ๑๙๙๔ จึงได้ยกทัพมาตีเมือง         เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบูุรีกอบูกู้เอกราชของกรุงศรี
            ชากังราว (เมืองก�าแพงเพชรเก่า) เมื่อได้เมืองชากังราวแล้วก็ อยุธยาจากพม่าได้แล้ว หัวเมืองล้านนายังถูกพม่ายึดครอง
            เลยมาตีเมืองสุโขทัย แต่ตีไม่ได้ จึงยกทัพกลับูไป     อยู่ จึงทรงยกกองทัพขึ�นไปตีเมืองเชียงใหม่ถึง ๒ ครั�งด้วยกัน

                   หลังจากพระเจ้าติโลกราชยึดครองเมืองน่านได้นั�น  ครั�งแรกไม่ส�าเร็จ ส่วนครั�งหลังยกขึ�นไปใน พ.ศ. ๒๓๑๗
            ระยะแรกน่านมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของอาณิาจักร  พญาจ่าบู้าน เมืองเชียงใหม่ พญากาวิละ เจ้าเมืองล�าปางได้
            ล้านนา แต่หลังจากพญาผาแสงเจ้าผู้ครองนครน่าน ราชวงศ์  หันมาสวามิภักดิ์กับูฝ่ายไทย น�าก�าลังผู้คนเข้ามาสมทบู
            ภูคาองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย ฐานะของเมืองน่านกลายเป็น  ตีเมืองเชียงใหม่ ส่วนทางเมืองน่านซึ่งยังสวามิภักดิ์ต่อพม่า

            หัวเมืองในราชอาณิาจักรล้านนา พระมหากษัตริย์ผู้ครองนคร  ได้มอบูให้เจ้าน้อยวิทูร ต�าแหน่งเจ้านาขวาเกณิฑ์พลมาช่วย
            เชียงใหม่ได้จัดส่งเจ้าเมืองที่อยู่ในเขตปกครองของพระองค์  พม่าป้องกันเมืองเชียงใหม่ สู้ก�าลังกองทัพไทยไม่ได้จึงทิ�งเมือง
            ผลัดเปลี่ยนกันมาปกครองเมืองน่าน  นับูแต่หมื่นสร้อย  ไปตั�งมั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน ส่วนเจ้าน้อยวิทูรถูกกองทัพ
            เชียงของ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๕ เป็นต้นมา จนถึงพญาพลเทพลือชัย   ไทยจับูกุม

            เหตุการณิ์เป็นปกติดี พ.ศ. ๒๐๗๙ พงศาวดารระบูุว่าทรง        ดังปรากฏความในพงศาวดารเมืองน่านตอนหนึ่งว่า
            สร้าง (ปูรณิะ) วัดหลวงกลางเวียง (วัดพระธาตุช้างค��าวรวิหาร “ในกาลยามนั�นเมืองล้านนาไทยก็บ่มั่น บ่เที่ยง สักบ้าน
            ปัจจุบูัน) ส่วนรูปทรงสถาปัตยกรรมของพระธาตุช้างค��าน่าจะ  สักเมืองแลดังเมืองน่านเรั้าเป็นอันเปล่า ห่างสูญหาท้าว
            ได้รับูอิทธิพลมาจากเจดีย์ช้างล้อม ศิลปะสุโขทัย      พิญาบ่ได้แล” ระยะนี�บู้านเมืองยังระส�่าระสาย สถานการณิ์

                   ต่อมาสมัยพระเจ้าบูุเรงนองเมงกยินยอ กษัตริย์ของ  ในกรุงธนบูุรียังไม่เรียบูร้อย มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและ
            พม่าพระองค์ต่อมาได้ยกกองทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ราชธานี  สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ส่วนทางฝ่ายพม่านั�น
            ของอาณิาจักรล้านนาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๑ เมื่อพญาพลเทพ  โปมะยุง่วนก็ยังคุมก�าลังตั�งมั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน
            ฦๅไชยเจ้าเมืองน่านทราบูข่าวว่าเมืองเชียงใหม่เสียแก่พม่าแล้ว










                                                                                                สมุดภาพินครั้น่าน   9
                                                                                                               Ÿ
   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15   16